แม้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเก็บชัยชนะเหนือ ฟูแล่ม ด้วยสกอร์ 0-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก แต่ฟอร์มการเล่นของสองกองหน้า ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โจชัว เซิร์กซี่ กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากทั้งคู่ล้มเหลวในการทำประตู
ข่าวกีฬาวันนี้ รายงาน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะสำคัญในเกมพรีเมียร์ลีก หลังบุกไปเฉือนเอาชนะ ฟูแล่ม 0-1 ที่สนาม คราเวน คอตเทจ โดยได้ประตูชัยจาก ลิซานโดร มาร์ติเนซ ส่งผลให้ “ปีศาจแดง” คว้า 3 แต้มล้ำค่า และลดช่องว่างจากครึ่งบนของตารางคะแนนเหลือเพียง 4 คะแนน
แม้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะคว้าชัยชนะ 0-1 เหนือ ฟูแล่ม แต่ผลงานของสองกองหน้าตัวหลักอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โจชัว เซิร์กซี่ กลายเป็นประเด็นที่น่าผิดหวัง เมื่อทั้งคู่ไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับ แบร์นด์ เลโน่ ผู้รักษาประตูของฟูแล่มได้เลย
ตามรายงานของ เดลี่ เมล ระบุว่า แมนฯ ยูไนเต็ดมีโอกาสยิงตรงกรอบเพียง 1 ครั้ง และยิงทั้งหมดเพียง 4 ครั้ง ตลอดทั้งเกม 90 นาที
ราสมุส ฮอยลุนด์ แม้จะได้รับโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงก็ตาม เขาสัมผัสบอลทั้งหมด 17 ครั้ง และโดย 1 ครั้ง อยู่ในกรอบเขตโทษของฟูแล่ม จ่ายบอลสำเร็จเพียง 6 จาก 8 ครั้ง จากสถิติการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ฮอยลุนด์ไม่สามารถทำประตูได้ถึง 36 จาก 48 เกม นับตั้งแต่ย้ายมาจาก อตาลันต้า ด้วยค่าตัว 72 ล้านปอนด์
ทำให้ต้องถูกเปลี่ยนตัวออก แล้วแทนที่ด้วย โจชัว เซิร์กซี่ ที่ย้ายมาในช่วงซัมเมอร์ด้วยค่าตัว 36.5 ล้านปอนด์ เซิร์กซี่ ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เต็มที่ โดยทำได้เพียง 3 ประตูในพรีเมียร์ลีก และยังไม่สามารถช่วยทีมได้ในเกมเยือนที่คราเวน คอตเทจ
ถึงอย่างไร โจชัว เซิร์กซี่ ไม่ได้สัมผัสบอลแม้แต่ครั้งเดียว ในกรอบเขตโทษฟูแล่ม ต่างจาก ฮอยลุนด์ เซิร์กซี่จ่ายบอลได้เพียง 5 ครั้ง ตลอดเกมในช่วงครึ่งหลัง
หลังจากฟอร์มการเล่นที่น่าผิดหวังของสองกองหน้าตัวหลักอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โจชัว เซิร์กซี่ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ รูเบน อโมริม กุนซือของทีม จะหาทางแก้ไขปัญหาแนวรุกที่ไร้ความเฉียบคมนี้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานกองหลังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของ ราสมุส ฮอยลุนด์ โดยระบุผ่าน TNT Sports “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถครองบอลได้ดีในพื้นที่สุดท้าย เมื่อผู้เล่นหมายเลข 9 ของพวกเขาไม่สามารถครองบอลได้”
ขอขอบคุณการสนับสนุนเนื้อหาข่าวกีฬาจาก: zumroad.com
รับฟังคลิปข่าวที่นี่:https://www.youtube.com/watch?v=3lFIQm3lzUg