หลังจาก รูเบน อโมริม ก้าวเข้ามาคุมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการถูกดึงตัวมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน เขาก็พาทีมลงสนามไปแล้ว 7 นัดในทุกรายการ
ข่าวกีฬาวันนี้ รายงานว่า อโมริม เริ่มต้นได้ไม่ดีนักเมื่อพาทีมบุกไปทำได้แค่เสมอ อิปสวิช 1-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก แต่ค่อยๆฉายแววเด่นจนสามารถพาทีมบุกเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 ในเกมพรีเมียร์ลีก
ในเกมสำคัญที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม รูเบน อโมริม วัย 39 ปี แสดงให้เห็นถึงการค้นพบทิศทางของทีมที่เขาต้องการ หลังจากการโรเตชันผู้เล่นในทุกเกมที่ผ่านมาราว 5-6 ตำแหน่งต่อแมตช์ โดยชัยชนะ 1-2 เหนือคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เพียงเป็นการยืนยันความสามารถด้านแท็กติกของกุนซือชาวโปรตุเกส แต่ยังสะท้อนถึงความชัดเจนในการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวผู้เล่นที่เหมาะสมสำหรับทีม
มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ สองแนวรุกที่เคยถูกคาดหวังสูงในยุคของผู้จัดการทีมคนก่อน ถูกกุนซือโปรตุเกสตัดสินว่าไม่เหมาะสำหรับการเป็นตัวจริงในเกมใหญ่ สาเหตุหลักมาจากฟอร์มการเล่นที่ไม่สามารถตอบโจทย์แท็กติกของอโมริม โดยเฉพาะการเคลื่อนที่และการตัดสินใจในจังหวะสำคัญ
สำหรับแรชฟอร์ด แม้เขาจะมีจังหวะที่หวือหวา แต่กลับขาดความสม่ำเสมอ ขณะที่การ์นาโช่ยังขาดประสบการณ์ในเกมใหญ่และยังต้องพัฒนาการจบสกอร์อีกมาก ท้ายที่สุดทั้งสองคนจึงไม่ได้มีรายชื่อใน 11 คนแรกของเกมสำคัญที่เอาชนะเรือใบได้
ด้วยผลงานชนะ 4 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ 2 นัด รวมถึงการทดลองโรเตชันผู้เล่นในทุกเกม อโมริมเริ่มมองเห็นโครงสร้างทีมในฝันของเขาชัดเจนขึ้น ซึ่งนักเตะแต่ละคนก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป วันนี้เราจะพามาวิเคราะห์ว่าใครบ้างที่ “รอด” และใครบ้างที่ “ร่วง” ในยุคของกุนซือชาวโปรตุเกส
ผู้ชนะ
1. อาหมัด ดิยัลโล่
ดาวเตะไอวอรี่โคสต์วัย 22 ปี กลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ยุคของอโมริม เขาสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะถูกใช้งานในบทบาทวิงแบ็กหรือแนวรุกตัวฟรี ด้วยผลงาน 5 ประตูจาก 7 เกมแรก ดิยัลโล่กลายเป็นตัวจริงอย่างถาวร พร้อมกับพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้เล่นที่เหมาะสมกับแท็กติกของกุนซือคนใหม่
2. แฮร์รี่ แม็กไกวร์
จากอดีตกัปตันทีมที่ดูเหมือนหมดอนาคตกับสโมสรในยุคของเอริก เทน ฮาก แต่ในยุคของอโมริม เขาได้กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวกลางในระบบหลังสาม แม็กไกวร์แสดงฟอร์มยอดเยี่ยมในเกมสำคัญกับแมนฯ ซิตี้ จนได้รับคำชมจากอโมริม และมีโอกาสกลับมายึดตัวจริงอย่างถาวร
3. นุสแซร์ มาซราวี
แบ็กขวาทีมชาติโมร็อกโกที่ย้ายมาจากบาเยิร์น มิวนิคด้วยค่าตัว 12.8 ล้านปอนด์ เป็นอีกคนที่โดดเด่นในทีมชุดนี้ ด้วยความสามารถเล่นเกมรับและรุกได้อย่างยอดเยี่ยม มาซราวีถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่อโมริมไว้วางใจ และน่าจะเป็นกำลังสำคัญในระยะยาว
4. ราสมุส ฮอยลุนด์
กองหน้าชาวเดนมาร์กวัย 20 ปี เริ่มกลับมาทำประตูได้อย่างต่อเนื่องในยุคของอโมริม โดยซัดไปแล้ว 5 ประตูจาก 6 เกม ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแฟนปีศาจแดงที่ต้องการเห็นหัวหอกหนุ่มรายนี้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
ผู้แพ้
1. มาร์คัส แรชฟอร์ด
จากความหวังสูงสุดของทีมในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา แรชฟอร์ดกลับถูกลดบทบาทในยุคของอโมริม ด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ และการขาดความกระตือรือร้น ทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่นในเกมสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มแรงกดดันว่าเขาอาจถูกขายในตลาดนักเตะรอบหน้า
2. อเลฮานโดร การ์นาโช่
แม้จะเป็นดาวรุ่งที่มีศักยภาพสูง แต่การ์นาโช่กลับทำผลงานได้น่าผิดหวังในยุคของอโมริม โดยเขายิงได้เพียง 1 ประตูจาก 4 เกมที่ได้เป็นตัวจริง ทำให้ถูกดร็อปจากเกมสำคัญ และต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น
3. กาเซมีโร่
กองกลางชาวบราซิลที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของทีมในยุคก่อน กลับกลายเป็นตัวสำรองถาวรในยุคของอโมริม โดยสามเกมหลังในพรีเมียร์ลีก เขาไม่ได้ถูกส่งลงสนามเลย สถานการณ์นี้ทำให้อนาคตของกาเซมีโร่ในทีมปีศาจแดงดูไม่สดใสนัก
4. คริสเตียน เอริคเซ่น
มิดฟิลด์ชาวเดนมาร์กเป็นอีกคนที่เสียตำแหน่งตัวจริงในยุคของอโมริม การกลับมาของค็อบบี้ เมนู และบทบาทของบรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำให้เอริคเซ่นแทบไม่มีโอกาสลงสนาม และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกจากทีมเมื่อหมดสัญญาในซัมเมอร์นี้
ขอขอบคุณการสนับสนุนเนื้อหาข่าวกีฬาจาก: zumroad.com
รับฟังคลิปข่าวที่นี่:https://www.youtube.com/watch?v=pWKDRiuPapc